Wednesday, 19 November 2025

[Series Review] This Is Going to Hurt

This Is Going to Hurt

จำนวนตอน: 7
ปีที่ฉาย: 2022


เรื่องราวการทำงานของแพทย์ในวอร์ดสูตินรีเวชที่เปียกปอนไปด้วยสารพัดสารคัดหลั่งจากทั้งคนไข้และจากบุคลากรทางการแพทย์เอง โทนเรื่องโดยรวมเป็นตลกร้ายว่าด้วยเคสร้อยแปดพันเก้า การถูกฟ้องร้อง และปัญหาการจัดการระบบสาธารณสุขของอังกฤษที่ท้าทายทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของแพทย์ในการรับมือ เล่าผ่านมุมมองของอดัม เคย์ แพทย์ประจำบ้านผู้ทำงานร่วมกับชรุติ แพทย์ใช้ทุนรุ่นน้อง ดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกันที่บันทึกประสบการณ์จริงของนายแพทย์อดัม เคย์


แม้หนังสือต้นฉบับจะถูกจัดอยู่ในหมวด nonfiction/memoir แต่ตัวซีรี่ส์ผูกเรื่องใหม่จนมีความเป็น fiction ที่ inspired by a true story มากกว่า ข้อแตกต่างหลักๆ คือเหตุการณ์ในซีรี่ส์เกิดขึ้นในปีเดียว ขณะที่เรื่องราวในหนังสือกินระยะเวลาถึง 6 ปี เวอร์ชันซีรี่ส์จึงมีการเพิ่มตัวละครชรุติขึ้นมาเป็นตัวแทนของอดัม (และตัวแทนแพทย์คนอื่นๆ) ในช่วงที่เป็นแพทย์ใช้ทุน บางเคสที่เกิดกับอดัมในหนังสือก็ถูกโยกมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชรุติแทน การเล่าเรื่องของแพทย์รุ่นพี่รุ่นน้องคู่ขนานกันไปเป็นการปรับบทที่ชาญฉลาดเพราะนอกจากจะเล่าเรื่องได้กระชับขึ้นแล้วยังสามารถเล่าชีวิตที่เหมือนและต่างกันระหว่างแพทย์ใช้ทุนกับแพทย์ประจำบ้านไปพร้อมๆ กันให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ความแตกต่างระหว่างซีรี่ส์กับหนังสือที่สำคัญอีกประการคือซีรี่ส์เล่าถึงชีวิตส่วนตัวของอดัมละเอียดกว่าในหนังสือโดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของอดัมกับคนรัก กับครอบครัว และกับเพื่อนร่วมงาน สะท้อนภาพของหมอที่มีพ่อแม่เป็นหมอและถูกคาดหวังให้เป็นหมอเหมือนพ่อแม่โดยที่ไม่มีโอกาสได้พิจารณาทางเลือกอื่น

การให้รายละเอียดชีวิตของอดัมในแง่มุมอื่นนอกจากความเป็นแพทย์ทำให้ตัวตนของอดัมดู "จริง" ขึ้นกว่าในหนังสือ (แม้เราจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เพิ่มเติมมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่) ในมุมหนึ่งเขาพยายามเป็นแพทย์ที่ดี และก็เป็นแพทย์ที่ดีสำหรับคนไข้ได้ในบางครั้ง แต่การเป็นแพทย์ที่ดีของคนไข้ไม่ได้เท่ากับการเป็นแพทย์ที่ดีในสายตาเพื่อนร่วมงานเสมอไป อดัมเป็นคนรักที่แย่ เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ได้ภาคภูมิใจสักเท่าไร และบางครั้งภาระงานที่หนักหน่วงก็ทำให้เขาเห็นแก่ตัวและกลายเป็นแพทย์ที่แย่ตามไปด้วย

การแสดงของเบน วิชอว์ถ่ายทอดความขัดแย้งในจุดนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี อดัมเป็นตัวละครที่ทั้งน่ารำคาญและน่าเอาใจช่วยไปพร้อมกัน เราคาดหวังให้เขาหาทางออกในความสัมพันธ์กับคนรักที่มีพื้นเพต่างกับเขาอย่างสุดขั้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธแทนชรุติกับพฤติกรรมกินหัวรุ่นน้องของเขา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้ดีพร้อมไปหมดหรือเลวร้ายไปเสียทุกด้าน คนที่เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันนี้มาอาจเข้าใจเหตุผลแต่ก็ไม่ได้ยกโทษให้การกระทำของเขาเสียทั้งหมด

จุดที่ประทับใจอย่างหนึ่งในซีรี่ส์เรื่องนี้คือการใช้เทคนิค breaking the fourth wall ในการอธิบายศัพท์ทางการแพทย์และใส่มุกตลกบางอันลงไป (ในหนังสือจะใส่ส่วนนี้เป็น footnote) เทคนิคนี้เข้ากันได้ดีกับโทนการเล่าเรื่องและคาแรกเตอร์ของอดัมซึ่งน่าจะเป็นคนขี้บ่นและมีเสียงอะไรบางอย่างในหัวตลอดเวลา นอกจากนี้ยังสร้าง irony ที่น่าสนใจคือทำให้คนดูรู้สึกตัวว่ากำลังดูเรื่องแต่ง ซึ่งเคสที่ยกมาในซีรี่ส์แต่ละเคสก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนนอกวงการแพทย์คงจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่ที่น่าตลกคือเรื่องที่ดูเหลือเชื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงที่บรรดาแพทย์ (อย่างน้อยก็หมออดัมตัวจริง) เคยประสบพบเจอมาจริงๆ

คำวิพากษ์ที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือคำว่า "A fast-paced emotional rollercoaster" โดย Radio Times ซึ่งปรากฏอยู่บนปกดีวีดี การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็วตามความรีบเร่งของแพทย์ในเรื่อง มุกตลกบางมุกก็ตลกจัดจนต้องกดปุ่ม pause มาขำ แต่ในวินาทีถัดมาอาจต้องกดปุ่ม pause อีกรอบเพื่อปาดน้ำตา

ซีรี่ส์เรื่องนี้สร้างจากหนังสือที่เขียนด้วยน้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระบบสาธารณสุขของอังกฤษ แต่คนในวงการอื่นก็อาจตั้งคำถามเดียวกันว่าการที่ระบบงานคาดหวังให้คนในระบบทุ่มเทให้งานจนชีวิตด้านอื่นพังพินาศนั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือไม่ หากวันหนึ่งคนคนนั้นพลั้งพลาดจนกลายเป็นคนทำงานที่แย่และอาจต้องเสียการงานที่ทุ่มเทให้จนหมดหน้าตัก เมื่อถึงวันนั้นเขาจะเหลืออะไรในชีวิตให้ภาคภูมิใจ หรือหากวันใดที่แม้กระทั่งชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ ต้นสังกัดจะทำอะไรให้เราได้บ้างนอกจากแสดงความเสียใจและหาคนทำงานคนใหม่มาทดแทน


Share:

0 comments:

Post a Comment