มอริซ
Original Title: Maurice
ผู้เขียน: E. M. Forster
ผู้แปล: วาริน นิลศิริสุข
เรารู้จัก Maurice จากเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1987 ซึ่งพอได้มาอ่านนิยายต้นฉบับก็พบว่าเป็น adaptation ที่ค่อนข้างซื่อตรงกับต้นฉบับพอสมควร แต่ต้นฉบับเองก็มีจุดเด่นหลายอย่างที่ภาพยนตร์ไม่สามารถถ่ายออกมาได้ โดยเฉพาะการบรรยายความรู้สึกนึกคิดของมอริซและไคลฟ์ด้วยโวหารเปรียบเปรยที่ทั้งสวยงามและสะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานที่คนรักร่วมเพศต้องเผชิญ
จุดที่ชอบเป็นการส่วนตัวของฉบับแปลไทยคือเชิงอรรถท้ายเล่มที่ช่วยขยายความคำหรือสำนวนที่ผู้อ่านชาวไทยอาจไม่คุ้นเคยได้อย่างละเอียดและไม่ขัดอรรถรสระหว่างอ่านตัวบท
เรื่องราวในหนังสือเน้นหนักไปที่การต่อสู้กับตัวเองในเชิงความคิดของมอริซตั้งแต่วัยมัธยมจนเรียนจบจากมหาวิทยาลัย คำถามที่มอริซถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือเขาควรใช้ชีวิตอย่างไรในเมื่อตัวตนของเขาไม่เป็นไปตามครรลองที่สังคมกำหนด จะปิดบังสิ่งที่เป็น แสร้งประพฤติตัวตามกรอบที่ถูกกำหนดโดยเพศและชนชั้น หรือจะทำตามใจสั่งและยอมรับโทษทัณฑ์จากการเป็นคนนอกคอก?
บางบทของหนังสือถูกเล่าผ่านมุมมองของไคลฟ์ผู้เดินร่วมทางกับมอริซในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไคลฟ์ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เขาเป็นผู้จุดประกายให้มอริซได้ค้นพบความปลอดโปร่งจากการทำตามใจปรารถนา แต่ความซื่อตรงต่อความรู้สึกนั้นเองก็ทำให้เขาเลือกเส้นทางที่ผลักไสมอริซลงไปสู่ก้นหุบเขามืดมิดอีกครั้งในเวลาต่อมา
ตัวตนของไคลฟ์เปลี่ยนไปและเขาก็มีความสุขดีกับตัวตนใหม่ที่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม ขณะที่มอริซไม่เคยเปลี่ยนและยังคงทุกข์ทรมานกับคำถามเดิม เขาควรเอาอย่างไคลฟ์ในแง่การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในฐานะสุภาพบุรุษชาวอังกฤษที่ดี หรือควรเอาอย่างไคลฟ์ในแง่การซื่อตรงกับหัวใจ? ทีแรกมอริซพยายามพาตัวเองกลับสู่วิถีทางที่ควรเป็น พึ่งพาการแพทย์เพื่อบำบัดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นโรคภัย แสดงมุมมองต่อสังคมอย่างที่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงคนอื่นๆ ทำ แต่ในที่สุดเขาก็พบว่าการใช้ชีวิตไปคนละทางกับที่ใจเรียกร้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้อย่างแท้จริง
นิยายเรื่องนี้เขียนในปี 1914 แต่กว่าจะได้รับการตีพิมพ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงปี 1971 หลังการเสียชีวิตของผู้เขียนซึ่งเป็นเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากที่อังกฤษยกเลิกโทษรักร่วมเพศในปี 1967 ฟอร์สเตอร์เขียนไว้ในบันทึกท้ายเล่มว่าเพื่อนคนหนึ่งของเขาบอกว่ากว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ตีพิมพ์ก็คงหลงเหลือคุณค่าเพียงรายละเอียดย้อนยุค แต่ผู้อ่านที่ได้อ่านเรื่องนี้ในปี 2025 น่าจะโต้แย้งคำกล่าวนี้ได้ว่าไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อผ่านมาแล้วร้อยกว่าปีนับจากวันที่ฟอร์สเตอร์เขียนนิยายเรื่องนี้จบ คนรักร่วมเพศก็ยังคงต้องต่อสู้กับตัวเองและอคติในสังคมที่ยังคงหลงเหลือแม้จะเบาบางลงไปบ้างแล้วก็ตาม
การต่อสู้ของคนที่หัวใจไปคนละทางกับเหตุผลอย่างมอริซจบลงด้วยความกล้าหาญ และความกล้าหาญของเขามอบความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งคนเพศเดียวกันจะได้รักกันอย่างเปิดเผยในสังคมที่ไม่ตัดสินพวกเขาอีกต่อไป

