Sunday, 23 November 2025

[Book Review] มอริซ

มอริซ

Original Title: Maurice
ผู้เขียน: E. M. Forster
ผู้แปล: วาริน นิลศิริสุข


มอริซ ฮอลล์เป็นเด็กหนุ่มชนชั้นกลางชาวอังกฤษที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข แต่เขากลับตระหนักได้ว่าตัวเองมีความปรารถนาเรื่องเพศแตกต่างจากที่ถูกพร่ำสอนมา มอริซเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และเริ่มคบหากับนักศึกษารุ่นพี่ชื่อไคลฟ์ เดอรัมซึ่งมีรสนิยมชอบผู้ชายเหมือนกัน แต่มุมมองของทั้งสองในเรื่องเพศและความรักก็ไม่ได้ตรงกันเสียทั้งหมด เมื่อชีวิตเริ่มหักเหไปคนละทางหลังเรียนจบ มอริซจึงต้องหาคำตอบว่าจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรในยุคสมัยที่รักร่วมเพศยังคงเป็นเรื่องผิดทั้งทางกฎหมายและศีลธรรม


เรารู้จัก Maurice จากเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1987 ซึ่งพอได้มาอ่านนิยายต้นฉบับก็พบว่าเป็น adaptation ที่ค่อนข้างซื่อตรงกับต้นฉบับพอสมควร แต่ต้นฉบับเองก็มีจุดเด่นหลายอย่างที่ภาพยนตร์ไม่สามารถถ่ายออกมาได้ โดยเฉพาะการบรรยายความรู้สึกนึกคิดของมอริซและไคลฟ์ด้วยโวหารเปรียบเปรยที่ทั้งสวยงามและสะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานที่คนรักร่วมเพศต้องเผชิญ

จุดที่ชอบเป็นการส่วนตัวของฉบับแปลไทยคือเชิงอรรถท้ายเล่มที่ช่วยขยายความคำหรือสำนวนที่ผู้อ่านชาวไทยอาจไม่คุ้นเคยได้อย่างละเอียดและไม่ขัดอรรถรสระหว่างอ่านตัวบท

เรื่องราวในหนังสือเน้นหนักไปที่การต่อสู้กับตัวเองในเชิงความคิดของมอริซตั้งแต่วัยมัธยมจนเรียนจบจากมหาวิทยาลัย คำถามที่มอริซถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือเขาควรใช้ชีวิตอย่างไรในเมื่อตัวตนของเขาไม่เป็นไปตามครรลองที่สังคมกำหนด จะปิดบังสิ่งที่เป็น แสร้งประพฤติตัวตามกรอบที่ถูกกำหนดโดยเพศและชนชั้น หรือจะทำตามใจสั่งและยอมรับโทษทัณฑ์จากการเป็นคนนอกคอก?

บางบทของหนังสือถูกเล่าผ่านมุมมองของไคลฟ์ผู้เดินร่วมทางกับมอริซในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไคลฟ์ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เขาเป็นผู้จุดประกายให้มอริซได้ค้นพบความปลอดโปร่งจากการทำตามใจปรารถนา แต่ความซื่อตรงต่อความรู้สึกนั้นเองก็ทำให้เขาเลือกเส้นทางที่ผลักไสมอริซลงไปสู่ก้นหุบเขามืดมิดอีกครั้งในเวลาต่อมา

ตัวตนของไคลฟ์เปลี่ยนไปและเขาก็มีความสุขดีกับตัวตนใหม่ที่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม ขณะที่มอริซไม่เคยเปลี่ยนและยังคงทุกข์ทรมานกับคำถามเดิม เขาควรเอาอย่างไคลฟ์ในแง่การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในฐานะสุภาพบุรุษชาวอังกฤษที่ดี หรือควรเอาอย่างไคลฟ์ในแง่การซื่อตรงกับหัวใจ? ทีแรกมอริซพยายามพาตัวเองกลับสู่วิถีทางที่ควรเป็น พึ่งพาการแพทย์เพื่อบำบัดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นโรคภัย แสดงมุมมองต่อสังคมอย่างที่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงคนอื่นๆ ทำ แต่ในที่สุดเขาก็พบว่าการใช้ชีวิตไปคนละทางกับที่ใจเรียกร้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้อย่างแท้จริง

นิยายเรื่องนี้เขียนในปี 1914 แต่กว่าจะได้รับการตีพิมพ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงปี 1971 หลังการเสียชีวิตของผู้เขียนซึ่งเป็นเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากที่อังกฤษยกเลิกโทษรักร่วมเพศในปี 1967 ฟอร์สเตอร์เขียนไว้ในบันทึกท้ายเล่มว่าเพื่อนคนหนึ่งของเขาบอกว่ากว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ตีพิมพ์ก็คงหลงเหลือคุณค่าเพียงรายละเอียดย้อนยุค แต่ผู้อ่านที่ได้อ่านเรื่องนี้ในปี 2025 น่าจะโต้แย้งคำกล่าวนี้ได้ว่าไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อผ่านมาแล้วร้อยกว่าปีนับจากวันที่ฟอร์สเตอร์เขียนนิยายเรื่องนี้จบ คนรักร่วมเพศก็ยังคงต้องต่อสู้กับตัวเองและอคติในสังคมที่ยังคงหลงเหลือแม้จะเบาบางลงไปบ้างแล้วก็ตาม

การต่อสู้ของคนที่หัวใจไปคนละทางกับเหตุผลอย่างมอริซจบลงด้วยความกล้าหาญ และความกล้าหาญของเขามอบความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งคนเพศเดียวกันจะได้รักกันอย่างเปิดเผยในสังคมที่ไม่ตัดสินพวกเขาอีกต่อไป


Share:

Wednesday, 19 November 2025

[Series Review] This Is Going to Hurt

This Is Going to Hurt

จำนวนตอน: 7
ปีที่ฉาย: 2022


เรื่องราวการทำงานของแพทย์ในวอร์ดสูตินรีเวชที่เปียกปอนไปด้วยสารพัดสารคัดหลั่งจากทั้งคนไข้และจากบุคลากรทางการแพทย์เอง โทนเรื่องโดยรวมเป็นตลกร้ายว่าด้วยเคสร้อยแปดพันเก้า การถูกฟ้องร้อง และปัญหาการจัดการระบบสาธารณสุขของอังกฤษที่ท้าทายทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของแพทย์ในการรับมือ เล่าผ่านมุมมองของอดัม เคย์ แพทย์ประจำบ้านผู้ทำงานร่วมกับชรุติ แพทย์ใช้ทุนรุ่นน้อง ดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกันที่บันทึกประสบการณ์จริงของนายแพทย์อดัม เคย์


แม้หนังสือต้นฉบับจะถูกจัดอยู่ในหมวด nonfiction/memoir แต่ตัวซีรี่ส์ผูกเรื่องใหม่จนมีความเป็น fiction ที่ inspired by a true story มากกว่า ข้อแตกต่างหลักๆ คือเหตุการณ์ในซีรี่ส์เกิดขึ้นในปีเดียว ขณะที่เรื่องราวในหนังสือกินระยะเวลาถึง 6 ปี เวอร์ชันซีรี่ส์จึงมีการเพิ่มตัวละครชรุติขึ้นมาเป็นตัวแทนของอดัม (และตัวแทนแพทย์คนอื่นๆ) ในช่วงที่เป็นแพทย์ใช้ทุน บางเคสที่เกิดกับอดัมในหนังสือก็ถูกโยกมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชรุติแทน การเล่าเรื่องของแพทย์รุ่นพี่รุ่นน้องคู่ขนานกันไปเป็นการปรับบทที่ชาญฉลาดเพราะนอกจากจะเล่าเรื่องได้กระชับขึ้นแล้วยังสามารถเล่าชีวิตที่เหมือนและต่างกันระหว่างแพทย์ใช้ทุนกับแพทย์ประจำบ้านไปพร้อมๆ กันให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ความแตกต่างระหว่างซีรี่ส์กับหนังสือที่สำคัญอีกประการคือซีรี่ส์เล่าถึงชีวิตส่วนตัวของอดัมละเอียดกว่าในหนังสือโดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของอดัมกับคนรัก กับครอบครัว และกับเพื่อนร่วมงาน สะท้อนภาพของหมอที่มีพ่อแม่เป็นหมอและถูกคาดหวังให้เป็นหมอเหมือนพ่อแม่โดยที่ไม่มีโอกาสได้พิจารณาทางเลือกอื่น

การให้รายละเอียดชีวิตของอดัมในแง่มุมอื่นนอกจากความเป็นแพทย์ทำให้ตัวตนของอดัมดู "จริง" ขึ้นกว่าในหนังสือ (แม้เราจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เพิ่มเติมมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่) ในมุมหนึ่งเขาพยายามเป็นแพทย์ที่ดี และก็เป็นแพทย์ที่ดีสำหรับคนไข้ได้ในบางครั้ง แต่การเป็นแพทย์ที่ดีของคนไข้ไม่ได้เท่ากับการเป็นแพทย์ที่ดีในสายตาเพื่อนร่วมงานเสมอไป อดัมเป็นคนรักที่แย่ เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ได้ภาคภูมิใจสักเท่าไร และบางครั้งภาระงานที่หนักหน่วงก็ทำให้เขาเห็นแก่ตัวและกลายเป็นแพทย์ที่แย่ตามไปด้วย

การแสดงของเบน วิชอว์ถ่ายทอดความขัดแย้งในจุดนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี อดัมเป็นตัวละครที่ทั้งน่ารำคาญและน่าเอาใจช่วยไปพร้อมกัน เราคาดหวังให้เขาหาทางออกในความสัมพันธ์กับคนรักที่มีพื้นเพต่างกับเขาอย่างสุดขั้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธแทนชรุติกับพฤติกรรมกินหัวรุ่นน้องของเขา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้ดีพร้อมไปหมดหรือเลวร้ายไปเสียทุกด้าน คนที่เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันนี้มาอาจเข้าใจเหตุผลแต่ก็ไม่ได้ยกโทษให้การกระทำของเขาเสียทั้งหมด

จุดที่ประทับใจอย่างหนึ่งในซีรี่ส์เรื่องนี้คือการใช้เทคนิค breaking the fourth wall ในการอธิบายศัพท์ทางการแพทย์และใส่มุกตลกบางอันลงไป (ในหนังสือจะใส่ส่วนนี้เป็น footnote) เทคนิคนี้เข้ากันได้ดีกับโทนการเล่าเรื่องและคาแรกเตอร์ของอดัมซึ่งน่าจะเป็นคนขี้บ่นและมีเสียงอะไรบางอย่างในหัวตลอดเวลา นอกจากนี้ยังสร้าง irony ที่น่าสนใจคือทำให้คนดูรู้สึกตัวว่ากำลังดูเรื่องแต่ง ซึ่งเคสที่ยกมาในซีรี่ส์แต่ละเคสก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนนอกวงการแพทย์คงจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่ที่น่าตลกคือเรื่องที่ดูเหลือเชื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงที่บรรดาแพทย์ (อย่างน้อยก็หมออดัมตัวจริง) เคยประสบพบเจอมาจริงๆ

คำวิพากษ์ที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือคำว่า "A fast-paced emotional rollercoaster" โดย Radio Times ซึ่งปรากฏอยู่บนปกดีวีดี การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็วตามความรีบเร่งของแพทย์ในเรื่อง มุกตลกบางมุกก็ตลกจัดจนต้องกดปุ่ม pause มาขำ แต่ในวินาทีถัดมาอาจต้องกดปุ่ม pause อีกรอบเพื่อปาดน้ำตา

ซีรี่ส์เรื่องนี้สร้างจากหนังสือที่เขียนด้วยน้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระบบสาธารณสุขของอังกฤษ แต่คนในวงการอื่นก็อาจตั้งคำถามเดียวกันว่าการที่ระบบงานคาดหวังให้คนในระบบทุ่มเทให้งานจนชีวิตด้านอื่นพังพินาศนั้นเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือไม่ หากวันหนึ่งคนคนนั้นพลั้งพลาดจนกลายเป็นคนทำงานที่แย่และอาจต้องเสียการงานที่ทุ่มเทให้จนหมดหน้าตัก เมื่อถึงวันนั้นเขาจะเหลืออะไรในชีวิตให้ภาคภูมิใจ หรือหากวันใดที่แม้กระทั่งชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ ต้นสังกัดจะทำอะไรให้เราได้บ้างนอกจากแสดงความเสียใจและหาคนทำงานคนใหม่มาทดแทน


Share:

Saturday, 18 October 2025

[Series Review] The Queen's Gambit

The Queen's Gambit

จำนวนตอน: 7
ปีที่ฉาย: 2020


เบธ ฮาร์มอนกลายเป็นเด็กกำพร้าหลังจากที่ผู้เป็นแม่เสียชีวิต เบธถูกรับเลี้ยงโดยบ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งและได้ค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการเล่นหมากรุกจากการเล่นหมากรุกกับภารโรงชื่อมิสเตอร์ไชเบลในห้องใต้ดินของบ้านเด็กกำพร้า หลังได้รับการอุปการะโดยมิสเตอร์และมิสซิสวีทลีย์ เบธก็เริ่มเดินสายแข่งหมากรุก ฝ่าฟันอุปสรรคและคู่แข่งสุดหินรวมถึงปัญหาส่วนตัวอย่างการติดเหล้าและยาระงับประสาท


ซีรี่ส์เปิดเรื่องด้วยฉากการแข่งขันหมากรุกในกรุงปารีสระหว่างเบธกับบอร์กอฟซึ่งเป็นแชมป์หมากรุกรัสเซีย จากนั้นจึงย้อนไปเล่าเรื่องราวของเบธตั้งแต่วัยเยาว์ ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงผ่านมุมมองของเบธและใช้โครงสร้าง 3 องก์ที่เข้าใจง่าย ตัวเอกพบปัญหา เอาชนะ พบปัญหาใหม่ที่ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงไคลแมกซ์ของเรื่อง

เบธเป็นตัวละครหลักที่น่าเอาใจช่วย ในมินิซีรี่ส์ความยาว 7 ตอน เราจะได้ตามติดชีวิตของเด็กกำพร้าวัย 5 ขวบที่ค่อยๆ เติบโตเป็นเด็กสาวแต่งตัวปอนๆ ไปแข่งหมากรุกครั้งแรกที่คู่แข่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย จนกระทั่งในที่สุดก็เติบโตเป็นแชมป์หมากรุกสาวสะพรั่งที่ใครๆ ต่างก็หลงเสน่ห์

การเป็นผู้หญิงในวงการที่ถูกครองด้วยเพศชายมาช้านานเป็นประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ซีรี่ส์กล่าวถึงความเป็นหญิงในทศวรรษ 1960s อยู่บ่อยครั้งทั้งในทางตรงและทางอ้อม เบธใช้ชีวิตในวัยเด็กกับแม่เลี้ยงเดี่ยว เติบโตในบ้านเด็กกำพร้าที่มีแต่เด็กผู้หญิง หลังได้รับอุปการะก็อยู่กับมิสซิสวีทลีย์ตามลำพัง บทบาทของผู้หญิงในยุคนั้นยังคงถูกจำกัดอยู่กับการเป็นเมียและแม่ แต่เบธกลับกระโจนเข้ามาในวงการที่มีแต่ผู้ชาย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักหมากรุกหญิงจะได้รับความเคารพนับถือจากคนในวงการ อย่างไรก็ตาม ความเป็นหญิงดูจะไม่ได้เป็นอุปสรรคกับเบธในแง่ของอาชีพมากนัก อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติจากนักหมากรุกชายในเรื่องซึ่งอาจจะเป็นภาพที่ดูดีเกินจริงไปสักหน่อย แต่ซีรี่ส์ก็แสดงให้เราเห็นว่าภาพที่ควรเป็นของวงการหมากรุกเป็นอย่างไร นั่นคือการตัดสินกันด้วยฝีมือ เคารพกันและกันในฐานะนักกีฬา ไม่ใช่ด้วยเพศ

The Queen's Gambit เป็นซีรี่ส์เกี่ยวกับหมากรุกที่คนเล่นหมากรุกไม่เป็นก็ดูได้โดยไม่ต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ในทางกลับกันคือเมื่อดูจบแล้วก็อาจไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหมากรุกเพิ่มเติมเช่นกันเพราะในเรื่องไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกติกาหรือรูปแบบการเดินหมากมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าซีรี่ส์ต้องการโฟกัสไปที่ชีวิตของนักหมากรุกมากกว่าการเดินหมาก แต่โดยส่วนตัวแอบเสียดายเล็กๆ เพราะคิดว่าการเดินหมากก็เทียบเคียงได้กับการดำเนินชีวิต หากเชื่อมโยงวิธีการเดินหมากเข้ากับวิถีชีวิตของนักหมากรุกได้มากกว่านี้ก็คงน่าสนใจมากขึ้นสำหรับเรา

(อันที่จริงในเรื่องก็มีพูดถึงอยู่บ้างแต่ไม่ได้ลงรายละเอียด เช่น บอกว่าเบธเป็นพวกเปิดเกมเร็ว ถนัดชิงความได้เปรียบช่วงต้นเกม ซึ่งในชีวิตจริงเบธก็เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่ชนะเลิศตั้งแต่ลงแข่งรายการแรก พอโตขึ้นก็มีช่วงที่เจอมรสุมชีวิตหนักจนเป๋ๆ ไปบ้างแต่กลับมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เส้นเรื่องนี้ล้อไปกับการแข่งกระดานสุดท้ายที่รัสเซีย)

ในภาพรวมถือว่าเป็นซีรี่ส์ที่ดูสนุกแม้จะไม่ได้ตื่นเต้นหวือหวาอะไรมากมาย ฉากที่น่าประทับใจที่สุดคือฉากจบของเรื่อง เป็นฉากที่ตอบคำถามว่าสุดท้ายแล้วเราเล่นหมากรุกไปเพื่ออะไร และหากเปรียบเทียบกระดานหมากรุกเป็นโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ ฉากนี้ก็ตอบคำถามเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร


Share: