*Spoiler Alert*
มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Shine The Series ตอนที่ 1 - 5
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไปอยู่ที่อินโดจีน ผมไปทำอะไรที่นั่น?
โรกองแต็ง ตัวเอกในนวนิยายเรื่องแรกของฌอง-ปอลล์ ซาทร์บรรยายไว้เช่นนั้นในไดอารีของเขา
La Nausée หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ Nausea (ความคลื่นเหียน) เล่าเรื่องของอองตวน โรกองแต็งในรูปแบบไดอารีส่วนตัว โรกองแต็งเดินทางไปอยู่ต่างถิ่นนานถึงหกปีก่อนจะกลับมาปักหลักในฝรั่งเศสอันเป็นบ้านเกิด แต่แล้วเขากลับสัมผัสได้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นกับตัวเอง เขารู้สึกถึงความเป็นอื่น ความเบื่อหน่าย ไม่สุขในสิ่งที่เคยสุข รู้สึกคลื่นเหียนกับสิ่งที่เคยชื่นชม ราวกับสิ่งที่เคยเห็นว่าสวยงามเป็นเพียงเปลือกนอกที่มีไว้เพื่อปกปิดความจริงแท้อันไม่น่าอภิรมย์ กระทั่งการมีอยู่ของตนก็ช่างว่างเปล่าจนกลายเป็นความทุกข์ระทม
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนังสือเล่มนี้อยู่ในมือของดร.ตฤณ สุวรรณภาสน์ผู้กำลังประสบพบเจอสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันกับตัวเอกของเรื่องจนต้องเปรยขึ้นมาถึงสองครั้งในตอนที่ 4 ว่า "ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรอยู่"
ตฤณเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ใช้ชีวิตภายใต้กรอบสังคมอย่างเคร่งครัดจนถีบตัวเองขึ้นมาเป็นหนุ่มนักเรียนทุน ได้ไปร่ำเรียนที่ฝรั่งเศสและกลับบ้านเกิดพร้อมคำหน้าชื่อว่าด็อกเตอร์ แต่ถึงแม้จะได้รับการนับหน้าถือตาในวงสังคมจากสถานะปัจจุบัน ตฤณกลับต้องเผชิญกับคำถามที่สั่นคลอนตัวตนเมื่อเขาได้พบกับธันวาและวิกเตอร์
ธีมหลักของ Shine คือสองด้านของดวงจันทร์ ล้อไปกับแนวคิดที่แฝงอยู่ในนวนิยายเรื่อง La Nausée ว่าด้วยเรื่องเปลือกนอกและเนื้อใน ตัวละครทุกตัวจึงมีด้านที่เปิดเผยและด้านที่ปกปิดรวมถึงมีตัวละครที่เป็นด้านตรงข้าม ธันวากับวิกเตอร์คือตัวละครที่ยืนอยู่ในด้านตรงกันข้ามกับตฤณและทำให้ตฤณต้องย้อนกลับมาสำรวจสิ่งที่ตนเคยเชื่อมั่นมาโดยตลอด
ตฤณ vs ธันวา
ปรัชญาของซาทร์ให้ความสำคัญกับเสรีภาพของมนุษย์ เพราะเขาเชื่อว่าสภาวะดั้งเดิมของจิตมนุษย์คือความว่างเปล่า เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ (existence) ไม่ได้มีความหมายหรือสารัตถะ (essence) ใดๆ อยู่ในนั้น จิตที่ว่างเปล่าเป็นทุกข์เพราะกระหายการเติมเต็ม แต่ก็เพราะว่างเปล่านี่เองจึงมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ที่จะกำหนดความหมายให้กับชีวิตของตน
เสรีภาพควรเป็นสิ่งที่ดี แต่เสรีภาพในการเลือกทำบางสิ่งหรือเลือกเป็นบางอย่างย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเลือกอย่างไม่อาจเลี่ยง และบางครั้งความรับผิดชอบนั้นก็อาจหนักหนาเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะแบกรับไหว การมีเสรีภาพจึงก่อให้เกิดความทุกข์อีกเช่นกัน
ตฤณและธันวารับมือกับปัญหาน่ากระอักกระอ่วนของการมีเสรีภาพนี้ไปในทางตรงกันข้าม ดังที่เห็นได้จากข้อถกเถียงระหว่างทั้งสอง ณ หลังร้านแผ่นเสียงท้ายตอนที่ 1
ธันวาเริ่มบทสนทนาด้วยการกล่าวว่าคำว่า "man" ในประโยคแรกของนีล อาร์มสตรองเมื่อเขาก้าวลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์นั้นควรจะเป็น "a man" ซึ่งหมายถึงตัวเขาเพียงคนเดียว แต่ตฤณแย้งว่าอาร์มสตรองอาจต้องการใช้คำว่า "man" เพื่อหมายรวมถึงมนุษยชาติ (*1)
บทสนทนานี้แสดงให้เห็นว่าธันวามองมนุษย์เป็นปัจเจกที่ไม่ยึดโยงกับสังคม เขาจึงมุ่งมั่นใช้เสรีภาพในการทำตัวให้ว่างเปล่าอย่างเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดหรือใครรอบตัว ไม่แม้แต่จะปล่อยให้ชาติกำเนิดมากำหนดตัวตนในปัจจุบัน จนบางครั้งการกระทำของเขาก็เลยเถิดเป็นการลดทอนเสรีภาพของผู้อื่น วิธีการที่ธันวาเข้าหาตฤณในช่วงแรกก็เป็นไปตามความต้องการของเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้ถามไถ่ความสมัครใจของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่ง ตฤณกลับมองว่ามนุษย์ไม่อาจหลีกหนีจากการเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เขาพยายามเติมเต็มความว่างเปล่าของตนด้วยการนิยามตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีชีวิตที่เป็นไปตามความคาดหวังของผู้อื่น ยอมละทิ้งเสรีภาพบางส่วน (ซึ่งเท่าที่ดูก็น่าจะเป็นส่วนใหญ่) ให้ระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคมเข้ามาแบ่งเบาความรับผิดชอบในการกำหนดความหมายของชีวิต
การที่ตฤณหมกมุ่นจนดูจะเกินพอดีกับการแต่งกายให้เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าในช่วงแรกอาจเป็นเพราะเขาใส่ใจสายตาของผู้อื่นในสังคมมากเกินไปจนเป็นการลดทอนตัวเองจากมนุษย์ที่มีเสรีภาพให้กลายเป็นเพียงวัตถุที่ถูกผู้อื่นจ้องมอง แต่ขณะเดียวกันเขากลับยอมรับเสรีภาพของผู้อื่นในระดับที่เรียกได้ว่าใจกว้าง แม้จะอึดอัดใจกับการเข้าหาของธันวาแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม แม้จะพยายามโน้มน้าวนักศึกษาที่เห็นต่างแต่ก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้เปลี่ยนความคิด
ดวงจันทร์อาจมีสองด้าน แต่ทั้งสองด้านต่างก็เป็นดวงจันทร์ ฉันใดก็ฉันนั้น ธันวามองว่าตัวเองเป็นสิ่งที่มีอยู่เพื่อตัวเอง (being-for-itself) แบบสุดโต่ง ส่วนตฤณก็มองตัวเองเป็นสิ่งที่มีอยู่เพื่อผู้อื่น (being-for-others) แบบสุดโต่ง แต่จุดร่วมคือทั้งสองฝั่งต่างก็ปฏิเสธเสรีภาพของมนุษย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซาทร์เรียกความสุดโต่งทั้งสองนี้ว่าความเชื่อที่ไม่จริงใจ (bad faith)
หากมองแต่เพียงผิวเผิน ตฤณกับธันวาต่างก็ดูชื่นมื่นกับวิถีทางของตน แต่เมื่อเรื่องราวพาเราย้อนกลับไปสำรวจอดีตที่ทั้งสองไม่เคยเปิดเผยให้ใครรับรู้ เรากลับพบว่าทั้งตฤณและธันวาต่างก็เคยสัมผัสกับความตายของคนสำคัญ (ซึ่งเป็นผลจากการเลือกของบุคคลนั้น) ด้วยกันทั้งคู่
ความตายสำหรับซาทร์คือการที่มนุษย์คนหนึ่งหมดสิ้นเสรีภาพโดยสิ้นเชิง เป็นสภาวะไม่พึงประสงค์ที่ทำให้มนุษย์รู้สึกหดหู่เมื่อนึกถึง ความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ในอดีตเปรียบเสมือนแผลกลัดหนองที่ยังคงกัดกินจิตใจของทั้งสองภายใต้เปลือกนอกที่ดูสวยงามในปัจจุบัน การที่ตฤณและธันวาผลักตัวเองไปสู่คนละขั้วของการปฏิเสธเสรีภาพก็อาจเกิดจากการตอบสนองต่อความตายของคนสำคัญในรูปแบบที่ต่างกันนั่นเอง
จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อตฤณเกิดความรู้สึกบางอย่างหลังจูบกับธันวา
เขาว้าวุ่นใจ แต่ก็ดูจะไม่ได้รังเกียจ
ตฤณไม่ใช่หนุ่มน้อยวัยรุ่นอ่อนต่อโลก เขาเคยมีคนรักที่เกือบจะได้แต่งงานกัน จึงน่าจะพอทำความเข้าใจได้ตั้งแต่ต้นว่านั่นคือความชื่นชอบ ความลุ่มหลง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นความรู้สึกโรแมนติกระหว่างเขากับธันวา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสับสนคือการที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับผู้ชายในยุคที่ความรักระหว่างเพศเดียวกันเป็น taboo ในสังคม เขาไม่เพียงไม่รังเกียจ แต่ยังรู้สึกดีกับสิ่งที่สังคมหล่อหลอมให้รังเกียจ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งนั้นอาจเป็นนิยามตัวตนของเขาเอง ความรู้สึกนี้จึงเป็นการสั่นคลอนความเป็น being-for-others ของตฤณอย่างรุนแรง มีบางสิ่งในตัวเขาที่แปลกไปจากเดิม เขาจึงเริ่มเขียนบันทึกเพื่อทบทวนหาสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดนั้นเช่นเดียวกับที่โรกองแต็งทำ
ยิ่งความรู้สึกที่มีต่อธันวาชัดเจนขึ้น พฤติกรรมของตฤณก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย เขาใช้เสรีภาพของตัวเองมากขึ้น เริ่มยอมรับตัวเองที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม พูดคุยกับธันวาอย่างสนิทสนมในที่สาธารณะ ถึงขั้นเข้าไปขวางพ่อของธันวาไม่ให้ตบตีลูกชายอย่างที่ไม่มีใครเลยในที่นั้นกล้าทำ
แต่ตฤณก็ยังคงเป็นตฤณ เขาไม่อาจปล่อยให้ส่วนใดส่วนหนึ่งในชีวิตว่างเปล่า เขาต้องการนิยามความสัมพันธ์ระหว่างตนกับธันวา ส่วนธันวาไม่ต้องการจำกัดตัวเองอยู่กับคำนิยามใดๆ
นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นความต่างขั้วของทั้งสอง ตฤณปล่อยให้กฎเกณฑ์ต่างๆ เข้ามากำหนดชีวิตของตนเพราะเขาเข้าใจดีถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมการเลือก บทสนทนากับม.ล.ธนาคมที่หลังร้านแผ่นเสียงแสดงให้เห็นว่าตฤณพร้อมแบกรับความรับผิดชอบนั้นเมื่อถึงคราวที่เขาต้องเลือกด้วยเจตจำนงของตน ส่วนธันวาก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจว่าตฤณต้องการอะไร เขาดูมีความรู้สึกผิดอยู่บ้างทุกครั้งที่ตฤณขอความชัดเจนในความสัมพันธ์ แต่ด้วยแนวโน้มที่จะหลีกหนีความรับผิดชอบจากการเลือก เขาจึงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองว่างเปล่าไร้นิยามอยู่เช่นนั้น
ซาทร์กล่าวว่าความรักควรเป็นสิ่งที่เติมเต็มความว่างเปล่าและมอบความหมายให้กับชีวิตมนุษย์ เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งว่าความรักจะเติมเต็มคนที่เลือกใช้ชีวิตว่างเปล่าอย่างธันวาได้อย่างไร ชีวิตที่ดูเหมือนจะว่างเปล่าของธันวามีสิ่งใดอยู่ในนั้นบ้าง และความรักจะทำให้ตฤณยอมรับตัวเองไปพร้อมๆ กับการไม่ไปก้าวล่วงเสรีภาพของธันวาได้หรือไม่ เมื่อความรักในโลกแห่งความเป็นจริงมักต้องการเสรีภาพของอีกฝ่ายเป็นสิ่งตอบแทนแทบจะทุกครั้งไป
*Footnote*
(*1) นีล อาร์มสตรองพูดว่า "a man" แต่เทคโนโลยีการถ่ายทอดสดในยุคนั้นทำให้ไม่ได้ยินคำว่า "a"
0 comments:
Post a Comment