Sunday, 8 June 2025

[Film Review] พระร่วง...มหาศึกสุโขทัย

พระร่วง...มหาศึกสุโขทัย

กำกับ: ชาติชาย เกษนัส
ปีที่ฉาย: 2025


ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ว่าด้วยการสถาปนากรุงสุโขทัย เล่าเรื่องปลายสมัยพ่อขุนศรีนาวนำถุมแห่งศรีสัชนาลัยและสุโขทัย เกิดความวุ่นวายจากการยึดอำนาจของขอมสบาดโขลญลำพง พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวซึ่งเป็นโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุมจึงต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อกำจัดขอมสบาดแม้ทั้งสองจะมีความขัดแย้งกันในด้านแนวคิดการทำศึกและการปกครอง


การโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เรื่องย่อสั้นๆ ตามประวัติศาสตร์กระแสหลักว่าด้วยการสถาปนากรุงสุโขทัยอย่างที่คนไทยทราบกันดีอยู่แล้ว เน้นสร้างความน่าสนใจด้วยประเด็น "การนำเรื่องราวในยุคสมัยที่ไม่ค่อยปรากฏในหน้าสื่อมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์" ขณะที่ตัวเทรลเล่อร์ก็สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ประมาณหนึ่งด้วยการให้นักแสดงพูดสำเนียงสุโขทัยที่ไม่คุ้นหู ชวนให้เข้าใจว่าเป็นภาพยนตร์ที่น่าจะพาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคของการสถาปนากรุงสุโขทัยในรูปแบบที่สมจริงอย่างที่ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดทำมาก่อน

เมื่อได้ชมภาพยนตร์ฉบับเต็มก็พบว่าสิ่งที่นำเสนอเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีภาพยนตร์ย้อนยุคเรื่องใดทำมาก่อนจริงๆ แต่ไม่ใช่ในแง่ความสมจริงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม นี่คือภาพยนตร์แนว anti-realism (ต่อต้านสัจนิยม, ปฏิสัจนิยม) โดยแท้ หรือหากจะระบุให้จำเพาะเจาะจงลงไปอีกก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นแนว epic theatre ซึ่งมีผู้นำแนวคิดคนสำคัญได้แก่ แบร์โทลท์ เบรชท์ (Bertolt Brecht)

ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวใน 2 ยุคสมัยคู่ขนานกันโดยให้อดีตเป็นภาพสีและปัจจุบันเป็นภาพขาวดำ ชวนให้คิดว่าใครกำลังเล่าเรื่องราวของใครในเมื่ออดีตของปัจจุบันคือปัจจุบันของอดีต ขณะที่เรื่องราวในอดีตเล่าถึงความขัดแย้งทางความคิดระหว่างพ่อขุนทั้งสองและการต่อสู้กับขอมสบาด เรื่องราวในปัจจุบันก็เล่าถึงตัวเอกทั้งสอง (ใช้นักแสดงคนเดียวกับที่แสดงเป็นพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาว) ที่พยายามสร้างละครเวทีเรื่องพระร่วงจากบทละครพูดคำกลอนซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 แต่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ นานาไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเงินทุน สถานที่จัดซ้อม นักแสดงที่เหมาะสม และความท้าทายข้อใหญ่สุดที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นคำถามหลักของเรื่องคือปัญหาที่ว่าจะนำเสนอละครเรื่องนี้ออกมาอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามเดียวกันกับที่ผู้สร้างภาพยนตร์ในโลกแห่งความเป็นจริงต้องหาคำตอบระหว่างการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้

ในฉากการออดิชั่นนักแสดงช่วงต้นเรื่อง บรรดานักแสดงต่างโอดครวญว่าบทไม่เข้าปาก บทละครเก่าเกินไป ชาตินิยมเกินไป ยากจะทำให้คนในยุคสมัยนี้อินไปกับเรื่องราวที่ไกลตัวและแนวคิดโบราณ ตัวละครในเรื่องจึงเลือกที่จะดัดแปลงบทละครให้มีความร่วมสมัย เพิ่มบทเพลงและนาฏกรรมเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทายผู้สร้างภาพยนตร์ในโลกแห่งความเป็นจริงดูจะซับซ้อนกว่านั้น เพราะนอกจากจะต้องหาวิธีนำเสนอให้ผู้ชมกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกิดความรู้สึกสนใจมากพอที่จะซื้อตั๋วเข้าชม (ซึ่งไม่ได้มีราคาถูก) ยังต้องคำนึงถึงผู้ชมในขั้วตรงกันข้ามที่ยึดมั่นในความเที่ยงแท้ของประวัติศาสตร์กระแสหลักว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้งและพร้อมจะตำหนิสื่อใดๆ ที่ตีความประวัติศาสตร์ไปในทางอื่น

ดังที่ได้กล่าวไปในตอนต้น แนวทางที่ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เลือกใช้คือแนวทางของเบรชท์ เบรชท์เชื่อว่าผู้ชมไม่ควรมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครมากเกินไป ควรมีระยะห่างเพื่อพิจารณาเรื่องราวและการกระทำของตัวละครอย่างเป็นกลาง การที่ภาพยนตร์เล่าเรื่องอดีตบ้าง ตัดสลับกับปัจจุบันบ้าง ตัดไปที่ภาพการแสดงบนเวทีบ้าง มีเครื่องแต่งกายที่ไม่เข้ายุคเข้าสมัยบ้าง ทั้งหมดนี้คือเทคนิคในการดึงผู้ชมให้ระลึกอยู่เสมอว่าเรื่องราวที่กำลังรับชมอยู่นั้นมิใช่ความจริง เป็นเพียงการเล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมายาวนานมากจนไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่ามีความจริงอยู่ในนั้นสักกี่ส่วน เป็นเรื่องแต่งอีกกี่ส่วน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าละครแนว epic theatre ตามแบบฉบับของเบรชท์จะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมกับตัวละครมากเกินไป แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่าแนวทางนี้ยังส่งผลในทางตรงกันข้ามได้อย่างน่าชื่นชม กล่าวคือเมื่อเกิดความไม่สมเหตุสมผลในบทละครที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่อิน แทนที่จะมองความไม่สมเหตุสมผลนั้นในแง่ลบ ผู้ชมจะมองว่านั่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ "เพราะมันคือละคร"

ฉากที่มีการตัดสลับจากอดีตมาเป็นปัจจุบันให้ไม่สมจริงอย่างจงใจที่สุดคือฉากการปรับความเข้าใจกันระหว่างพ่อขุนทั้งสอง หากมองเฉพาะเส้นเรื่องในอดีต ภาพยนตร์ไม่ได้เล่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อขุนทั้งสองมากพอที่จะทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับฉากนี้ได้อย่างเต็มที่ แต่เทคนิคเปลี่ยนฉากจากอดีตที่ดูสมจริงมาเป็นละครเวทีที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ประกอบฉากปลอมๆ และนาฏกรรมประดิษฐ์นี่เองที่ช่วยลดความตะขิดตะขวงใจจากการที่ความขัดแย้งของตัวละครคลี่คลายลงได้ง่ายดายเกินไป

การที่ภาพยนตร์เน้นหนักไปที่วิธีการนำเสนออาจทำให้ผู้ชมติดตามเรื่องราวได้ลำบากอยู่บ้างเนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลาในการเล่าเรื่องของคนใน 2 ยุคสมัย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความพยายามในการพัฒนาบทอย่างใส่ใจรวมถึงความกล้าที่จะตั้งคำถามและนำเสนอสิ่งที่แตกต่าง เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมและศึกษา น่าเสียดายที่ออกฉายในช่วงเวลาไม่เหมาะสมทำให้สิ่งที่ผู้สร้างต้องการสื่อสารถูกกลืนหายไปท่ามกลางเสียงวิจารณ์


Share:

0 comments:

Post a Comment